บึงน้ำบริเวณด่านดุเรียนบุหรง จุดเชื่อมต่อระหว่างชายแดนไทย-มาเลเซีย ณ บ้านประกอบ คืออาณาบริเวณสำคัญในพระพุทธศาสนา เพราะเมื่อพุทธศักราช ๒๒๒๕ น้ำเหลืองจากพระศพหลวงปู่ทวดได้หยดลงบนผืนแผ่นดินนี้โดยมีวัดช้างไห้เป็นจุดหมายการเดินทาง และเป็นเครื่องยืนยันว่า ครั้งหนึ่งเส้นทางจาริกเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่านเชื่อมโยงดินแดนสองแผ่นดินไว้ด้วยกัน
ย้อนกลับไปเมื่อพุทธศักราช ๒๑๒๕ ในศาลาที่พักคนงานของเศรษฐีปาน แห่งตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา นางจันทร์ได้ให้กำเนิดเด็กชายปู ชื่อที่ตั้งตามลักษณะการคลาน ส่วนรกของท่านนั้น นายหูผู้เป็นบิดาได้ฝังไว้ใต้ต้นเลียบ ห่างจากกันไม่มากนัก ปัจจุบันเป็นที่เคารพสักการะ ตามตำนานเล่าว่าครั้งหนึ่งขณะที่เด็กชายปูนอนอยู่ในเปล จู่ๆ ก็มีพญานาคที่แปลงร่างเป็นงูจงอาง คดพันเปลเอาไว้แต่ไม่ทำอันตรายใดๆ ต่อเด็กน้อย และก่อนจะผละไปพญานาคได้ทิ้งลูกแก้วไว้ให้ ปัจจุบันลูกแก้วดังกล่าวประดิษฐานอยู่ ณ วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
หลวงปู่ทวดเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ที่วัดดีหลวงเมื่ออายุเจ็ดปี ห้าปีต่อมาท่านร่ำเรียนหนังสือครั้งแรกที่วัดสีหยัง ตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด ก่อนย้ายมาศึกษาต่อที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อุปสมบทกลางอุทกเสมา เมื่ออายุยี่สิบปี ณ คลองท่าแพ ฉายา “เหยียบน้ำทะเลจืด” เกิดขึ้นเมื่อครั้งท่านเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาแล้วน้ำจืดบนเรือหมด ท่านจึงจุ่มเท้าซ้ายลงในน้ำทะเล จากน้ำเค็มกลายเป็นน้ำจืด สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้ร่วมเส้นทางอย่างยิ่ง ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวนั้นอยู่ใกล้กับเกาะนุ้ยนอก อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านจำพรรษาอยู่วัดราชานุวาส หรือวัดแค ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำเมืองอยุธยานานหกพรรษา
หลวงปู่ทวดเป็นที่โด่งดังทั่วราชอาณาจักรเมื่อสามารถแก้ปริศนาธรรมของพราหมณ์เจ็ดรูปจากประเทศลังกาที่หวังใช้สติปัญญายึดครองกรุงศรีอยุธยา ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บูรณะซึ่งเป็นพระอารามหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้เลื่อนสมณะศักดิ์เป็น”สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” กาลต่อมาท่านขอมาพำนัก ณ บ้านเกิด โดยมาเป็นเจ้าอาวาสวัดพะโคะ ในช่วงที่จำพรรษาอยูที่วัดพะโคะ ตามตำนานเล่าว่า หลังจากที่ท่านได้รับดอกไม้จากสามเณรน้อยซึ่งตั้งจิตอธิษฐานจะขอพบพระโพธิสัตว์ซึ่งก็คือหลวงปู่ทวด จากนั้นท่านก็หายตัวไปโดยไม่มีใครพบเห็นเลยนับแต่บัดนั้น
แม้จะมีความพยายามสืบเสาะว่าหลวงปู่ทวดยังคงเผยแผ่ศาสนาอยู่ที่ใด แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน กระทั่งมีพุทธศาสนิกชนกลุ่มหนึ่งนำพาศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อหลวงปู่ทวดเป็นเครื่องนำทางในการค้นหาเส้นทางสายมรณะภาพของหลวงปู่ทวด จากสาบสูญกลายเป็นมีตัวตน จากขากหายกลายเป็นเติมเต็ม ประวัติศาสตร์ถูกเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกันผ่านรอยอารยะธรรมสองแผ่นดิน
เรื่องราวจากคำบอกเล่าถึงชีวประวัติของหลวงปู่ทวดอีกตำนานกล่าวว่า มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เมืองไทรบุรี พระภิกษุชรารูปนี้เป็นที่เลื่อมใศรัทธาของทั้งพระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรีและชาวเมือง ต่อมาพระยาแก้มดำได้ปวารณาถวายที่ให้ท่านเพื่อสร้างวัด ซึ่งในเวลาต่อมาที่ดังกล่าวคือวัดช้างไห้นั่นเอง พระภิกษุรูปนี้เมื่ออยู่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกว่าท่านลังกา เมื่อมาอยู่วัดช้างไห้ชาวบ้านเรียกท่านว่าท่านช้างไห้ ซึ่งสันนิษฐานว่าพระภิกษุท่านนี้คือหลวงปู่ทวด จากคำบอกเล่าระบุว่าพรรษาสุดท้ายก่อนละสังขาร ในวัยที่ชราภาพมากแล้วนั้น หลวงปู่ทวดได้รับนิมนต์จากเจ้าเมืองเมืองหนึ่งในมณฑลไทรบุรีในขณะนั้นเพื่อไปงานฉลองสมโภชน์พุทธสถาน แต่เพียงไม่กี่วันที่มาถึงเมืองนี้ ท่านก็อาพาธ เมื่ออาการดีขึ้นคณะลูกศิษย์ได้พาท่านเดินทางกลับมณฑลสงขลาโดยแบกหามท่านไปด้วยเสลี่ยง
จนกระทั่งมาถึงริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง จึงได้หยุกพักลงบริเวณลานโล่งริมฝั่งน้ำเพื่อเตรียมแพข้ามฝั่ง ได้พักรออยู่ที่นั่นประมาณสิบวัน ในที่สุดท่านก็มรณะภาพลงเสียก่อนด้วยอายุประมาณร้อยพรรษา บริเวณนี้ปัจจุบันตั้งอยู่ในตำบลกัวลาเกอร์นาริง เมืองกริก รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย คนในพื้นที่เรียกสถานที่แห่งนี้ว่า สมีมาตี้ หรือสถานที่ละสังขารของพระภิกษุ ในประวัติระบุถึงคำสั่งของหลวงปู่ทวดว่า หากมรณะภาพเมื่อใดให้นำศพไปฌาปนกิจ ณ วัดช้างไห้ และขณะเดินทางเคลื่อนศพนั้น ถ้าหยุดพักศพแล้วมีน้ำเหลืองไหลลงสู่ดิน ณ ที่ใด ก็ให้นำแก่นไม้มาปักหมายไว้ เพราะที่นั่นจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในภายภาคหน้า
ขณะเดินทางนั้นมีผู้เดินทางมาสมทบขบวนเพื่อส่งพระศพมากขึ้นเรื่อยๆ จากร้อยคนจนเป็นพัน ขบวนเคลื่อนพระศพใช้เวลาเดินทางอยู่ราวห้าสิบวัน สถานที่สำคัญๆ ในระหว่างการเคลื่อนพระศพโดยมีช้างเป็นพาหนะประกอบด้วย วัดโพธิเจติยารามหรือวัดทุ่งควาย พุทธสถานเพียงแห่งเดียวของเมืองไทรบุรีในขณะนั้น ที่สำคัญท่านยังเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดนี้ ที่นี่มีเจดีย์บรรจุอัฐิที่นำมาจากวัดช้างไห้ ที่บ้านปลักคล้ามีแก่นไม้รูปดอกบัวตูม มีศาลาครอบและมีองค์หลวงปู่ทวดประดิษฐานอยู่หน้าสถูป แก่นไม้ที่บ้านปลักคล้าหลักที่สองอยู่ห่างจากหลักแรกทางทิศตะวันออก 600 เมตร แก่นไม้รูปดอกบัวตูมมีหลังคาสังกะสีครอบอยู่ใกล้กับวัดพิกุลธาราราม แก่นไม้ในศาลาของวัดดินแดง
ตามตำนานตลอดเส้นทางการเคลื่อนพระศพ ช้างเริ่มป่วยและอ่อนเพลีบเพราะไม่มีแหล่งน้ำ จนกระทั่งพบแหล่งน้ำบริเวณด่านดุเรียนบุหรงในปัจจุบัน น้ำเหลืองของหลวงปู่ทวดก็ถูกชำระล้างจนหมด จากนั้นอีกสิบสองวันเมื่อช้างแข็งแรงมากขึ้นจึงเริ่มเดินทางสู่วัดช้างไห้ ผ่านเส้นทางบ้านประกอบ อำเภอสะบ้าย้อยและโคกโพธิ์ ขบวนพระศพหยุดพักที่วัดบรรลือคชาวาสอยู่แปดวัน เพื่อให้มีเวลามากเพียงพอต่องานฌาปนกิจ ก่อนจะลำเลียงพระศะมาที่วัดช้างไห้ หลังพิธีฌาปนกิจพระศพเสร็จสิ้น ช้างพาหนะทั้งห้าเชือกก็ล้มตายลงทันที คงเหลือลูกช้างเพียงหนึ่งเชือกเท่านั้น
กว่าสี่ศตวรรษนับแต่ควันสุดท้ายจางไป แต่ประวัติศาสตร์จากยุคต่อยุค จากรุ่นสู่รุ่น ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขาน และเป็นยิ่งกว่าตำนานบนฐานความเชื่อระคนปาฏิหาริย์ ที่ร้อยเรียงอารยธรรมของผู้คนต่างชาติต่างภาษา ส่งต่อเป็นมรดกสู่คนรุ่นต่อไปตราบเท่าที่ศรัทธายังอยู่คู่หัวใจของมนุษย์